Our links

วันอังคารที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

การปกครองเมืองเชียงใหม่ในฐานะประเทศราชของไทย 3

) วิธีการควบคุมเชียงใหม่ในฐานะเมืองประเทศราช

เมื่อพิจารณาลักษณะการปกครองภายในเมืองเชียงใหม่ตามหัวข้อที่กล่าวมาแล้วจะ   เห็นว่ารัฐบาลกลางให้เชียงใหม่มีอิสระในการปกครองตนเองอย่างมาก โดยที่รัฐบาลกลางไม่เข้าไป     ยุ่งเกี่ยวในกิจการภายใน เชียงใหม่สามารถกำหนดรูปแบบการปกครองตนเองตามขนบธรรมเนียมของท้องถิ่น อย่างไรก็ตามรัฐบาลกลางก็ไม่ปล่อยให้เป็นอิสระเสียทีเดียว เพราะรัฐบาลกลางใช้วิธีการ     ควบคุมโดยอ้อม ซึ่งมีหลายวิธีการด้วยกันที่จะให้เชียงใหม่ต้องตระหนักถึงอำนาจของรัฐบาลกลางที่เหนือกว่าอยู่เสมอ

    วิธีการซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการควบคุมที่สำคัญคือ การแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าขัน ๕ ใบ ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูงที่พระมหากษัตริย์จะพระราชทานตำแหน่งให้[1] โดยบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่จะต้องเข้าเฝ้าที่กรุงเทพฯ ทุกครั้งเพื่อรับตราตั้งและเครื่องยศ ในการ       พระราชทานเครื่องยศแล้วแต่โอกาส ตำแหน่งเดียวกันอาจจะรับเครื่องยศต่างกัน และเครื่องยศทุกชิ้นจะต้องคืนเมื่อถึงแก่กรรม โดยทางกรุงเทพฯ จะตรวจนับเครื่องยศ มีหลักฐานว่าการส่งคืนเครื่องยศของเจ้าเชียงใหม่พุทธวงษ์ (.. ๒๓๖๗ - ๒๓๘๙) ขาดไป ๕ สิ่ง ซึ่งทางกรุงเทพฯ ไม่ทวงถาม[2]

    นอกจากนั้นมีพิธีการต่างๆ ที่ต้องแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ที่กรุงเทพฯ เช่น เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน เจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานต้องลงมาร่วมในงานพระบรมศพและเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ด้วย การกระทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจา ปีละ ๒ ครั้ง โดยประกอบพิธีที่วัดสำคัญ มีเจ้าขัน ๕ ใบและเจ้านายบุตรหลานอื่นๆ ร่วมด้วย พิธีนี้มีการให้สัตย์สาบาน            รัฐบาลกลางจึงถือว่าเป็นพิธีสำคัญที่แสดงความจงรักภักดี ผู้ที่ไม่ร่วมพิธีจะถูกเพ่งเล็ง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ พบหลักฐานเสมอที่ทรงย้ำให้กระทำพิธีนี้[3]

    อย่างไรก็ตามที่กล่าวมาเป็นรูปพิธีการยอมรับอำนาจของรัฐบาลกลางมากกว่า ส่วน     วิธีการควบคุมที่แสดงอำนาจที่เฉียบขาด เช่น การเรียกตัวให้เข้าเฝ้าเพื่อสอบสวนความผิดดังกรณีพระเจ้าตากสินมหาราชเรียกตัวพระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละซึ่งมีการลงโทษตัดขอบหูพระยา     กาวิละและขังพระยาจ่าบ้านตามที่กล่าวมาแล้ว และกรณีรัชกาลที่ ๔ เรียกตัวเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์เข้าเฝ้าเพราะได้ข่าวว่าฝักใฝ่พม่า ซึ่งผลปรากฏว่าไม่มีความผิดจึงให้กลับไปครองเมืองตามเดิม[4] นอกจากนั้นถ้ารัฐบาลกลางไม่แน่ใจว่าจะจงรักภักดีก็จะให้ทำราชการในกรุงเทพฯ เช่นกรณีพระยาแพร่มังไชยเคยถูกพม่าจับตัวไปและอยู่กับพม่า ๑๐ ปี (.. ๒๓๑๘ - ๒๓๒๘) ได้หันมาช่วยกองทัพไทยโดยยกทัพไปตีเชียงแสนและสามารถจับตัวเจ้าเมืองเชียงแสนนำส่งมากรุงเทพฯ ได้ นับว่ามีความดีความชอบมาก แต่รัชกาลที่ ๑ ยังแคลงพระทัยจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาแพร่มังไชยรับราชการที่กรุงเทพฯ มิให้กลับไปครองเมือง[5]

) พันธะของเมืองเชียงใหม่ต่อรัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ

    สิ่งที่เชียงใหม่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของเมืองประเทศราชแบ่งได้เป็น ๒ ประการ

    ประการแรก การส่งเครื่องราชบรรณาการ ส่วย และสิ่งของต่างๆ

    เครื่องราชบรรณาการ ต้องส่ง ๓ ปีต่อครั้ง เป็นเครื่องหมายของการยอมอยู่ใต้การบังคับบัญชา หากไม่ส่งจะถือว่ากบฏ เครื่องราชบรรณาการประกอบด้วยสิ่งสำคัญคือต้นไม้ทองเงินขนาดเท่ากัน ๑ คู่ และสิ่งของอีกจำนวนหนึ่งตามความเหมาะสม โดยไม่กำหนดชนิดและจำนวน    หลักฐานในสมัยรัชกาลที่ ๔ พบว่าส่งต้นไม้ทองเงินสูง ๓ ศอกคืบ ๗ ชั้น และไม้ขอนสัก ๓๐๐ ต้น หรือบางปีส่งน้ำรักแทนในจำนวน ๑๕๐ หรือ ๓๐๐ กระบอก[6] ต้นไม้ทองเงินที่ส่งมาถวายเข้าใจว่าไม่น่าจะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากนัก เมื่อเทียบกับส่วยและการเกณฑ์สิ่งของซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ามาก

    ส่วย เป็นสิ่งของที่ต้องส่งทุกปี ในอัตราที่ค่อนข้างแน่นอน ส่วยที่สำคัญของเชียงใหม่ คือ ไม้ขอนสัก ซึ่งเป็นของหาง่ายในท้องถิ่น ตามหลักฐานสมัยรัชกาลที่ ๓ พบว่าเชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ส่งไม้ขอนสัก ๕๐๐ ต้น น่าน ๔๐๐ ต้น ลำปาง ๔๐๐ ต้น แพร่ ๒๐๐ ต้น ลำพูน ๒๐๐ ต้น[7]

อย่างไรก็ตามการส่งส่วยบางครั้งไม่ครบจำนวน มีการค้างส่วย ซึ่งสำหรับเมืองเชียงใหม่ไม่พบหลักฐานการทวงส่วยให้ส่งให้ครบหรือเร่งให้ส่ง เท่าที่พบมีเมืองแพร่ส่งไม้ขอนสักไม่ครบรัฐบาลกลางเร่งให้ส่งด่วน[8] และเมืองน่านเจ้าเมืองของดส่งส่วยไม้ขอนสัก ๓ ปี  ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ไม่ยอมและ  ถูกว่ากล่าวตักเตือน[9]

นอกจากไม้ขอนสักแล้วเชียงใหม่ส่งผ้าขาวเพลา ปีละ ๒๐๐ เพลา และน้ำรัก ๕๓๗ ทะนาน[10]

นอกจากจะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการและส่วยแล้ว เมื่อมีงานพระราชพิธี เช่น    พระบรมศพ รัฐบาลกลางจะเกณฑ์สิ่งของ ตามหลักฐานในงานพระราชพิธีบรมศพรัชกาลที่ ๑ พ..๒๓๕๒ เชียงใหม่ถูกเกณฑ์กระดาษหัว ๒๐,๐๐๐ แผ่น  ลำปางส่งกระดาษหัว ๑๕,๐๐๐ แผ่น  ลำพูนส่งกระดาษหัว ๕,๐๐๐ แผ่น  แพร่ส่งกระดาษหัว  ๒๐,๐๐๐ แผ่น  ป่าน ๕ หาบ และเมืองน่านต้องส่งกระดาษหัว ๓,๐๐๐ แผ่น  ป่าน ๕ หาบ[11]  และเมื่อรัฐบาลกลางมีการก่อสร้างพระราชวังและวัดก็จะเรียกเกณฑ์ไม้ขอนสัก เช่น รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างพระราชวังที่ลพบุรีต้องใช้ไม้ขอนสักจำนวนมาก เท่าที่ค้นคว้าไม่พบหลักฐานว่าเมืองเชียงใหม่ถูกเกณฑ์เท่าไร พบแต่หลักฐานว่าเมืองลำปางต้องส่งไม้ขอนสักครั้งนั้นถึง ๑,๐๐๐ ต้น[12]

อย่างไรก็ตามเมื่อเชียงใหม่ส่งเครื่องราชบรรณาการและส่วยลงมา รัฐบาลกลางจะส่ง    สิ่งของตอบแทนให้กลับไปใช้สอยในบ้านเมือง โดยพระราชทานแก่ผู้คุมบรรณาการหรือส่วย สิ่งของที่พระราชทานมักจะเป็นของที่ทางเชียงใหม่ขาดแคลนและขอร้องมา แต่ในการพระราชทานไม่แน่นอนว่าเป็นอะไร และมีจำนวนเท่าใด สมัยรัชกาลที่ ๑ พ.. ๒๓๔๕ พระราชทาน ดังนี้

ปืนนกคุ้มกระสุน ๒ นิ้ว             ๒ บอก

ปืนเล็กกระสุน     ๓ นิ้ว            ๒ บอก

๓ นิ้ว

กระสุนปืนใหญ่    ๔ นิ้ว            ,๕๐๐ ลูก

๕ นิ้ว

ดีบุกหนัก                            ๕ หาบ

สุพันถันหนัก                         ๓ หาบ

ฉาบพล                               ,๐๐๐ ใบ

กะทะเหล็ก                           ๗ ใบ

ทองคำเปลว                         ,๐๐๐ แผ่น

กระจกหนัก                          ๑๐ หาบ[13]

ฯลฯ เป็นต้น

ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.. ๒๓๙๐ พระราชทานพานไถนาโดยให้แวะรับเจ้าภาษีเหล็กที่เมืองชัยนาท และพบว่าการเข้าเฝ้าครั้งนั้นมีเจ้าอุปราชเชียงใหม่นำมา มีผู้คนติดตามถึง ๓๔๙ คน ในระหว่างการเข้าเฝ้าและเดินทางกลับทรงพระราชทานสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคซึ่งประกอบด้วย ข้าวสาร ๓๔๙ ถัง[14] ฟืน ๕๐๐ ดุ้น เสื่อ ๔๒ ผืน น้ำมันมะพร้าว ๑๓๐ ทะนาน เป็นต้น[15]

เมื่อพิจารณาจากการตอบบรรณาการและส่วยแล้วนับว่าทั้งเมืองเชียงใหม่และรัฐบาลกลางต่างมีพันธะที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และคงมีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงใหม่และกรุงเทพฯ สมัยก่อนการปฏิรูปการปกครองดำเนินไปด้วยความราบรื่น

ประการที่สอง การป้องกันประเทศ ถือเป็นหน้าที่สำคัญของเมืองประเทศราชที่ต้อง    ช่วยเหลือรัฐบาลกลาง เช่น ยามมีศึกสงครามจะถูกเกณฑ์กำลังทหารซึ่งจะต้องส่งกำลังมาช่วยอย่าง  รวดเร็วเพื่อไม่ให้ถูกเพ่งเล็ง กองทัพเชียงใหม่เคยถูกเกณฑ์ราชการศึกหลายครั้ง เช่น คราวกบฏ      เจ้าอนุวงศ์ พ.. ๒๓๖๙ และเมื่อสถานการณ์ปกติเมืองประเทศราชต้องอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมป้องกันบ้านเมืองเสมอ ดังสารตราในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ส่งถึงเมืองเชียงใหม่ตอนหนึ่งมีความว่า

“ … อีกประการหนึ่งให้ตรวจตราค่ายคูประตูเมือง ป้อมกำแพง หอรบเชิงเทินตึก ปืนดิน สำหรับบ้านเมือง สิ่งใดชำรุดหักอยู่ให้จัดแจงตกแต่งซ่อมแปลงทำขึ้นไว้ให้มั่นคงจะได้เป็นสง่างามกับบ้านเมือง สัตรูจะไม่ได้ประมาตขึ้นได้ กับให้บำรุงทหาร จัดแจงปืน กระสุนดินดำ เครื่องสาตราวุธ     รวบรวมเสบียงอาหารใส่ยุ้งฉางให้พร้อมสรรพไว้กับบ้านเมือง มีราชการกิจสงครามคุกคามค่ำคืนประการใดก็ให้พร้อมมูล อีกประการหนึ่งให้แต่งกองลาดตระเวณตรวจตรารักษาด่านสืบราชการปลายแดนอย่าให้ขาด ถ้ามีเหตุการณ์ชายแดนให้บอกเมืองลคอร, ลำพูน แลหัวเมืองที่ไกลให้รู้ราชการ ให้เร่งรีบบอกลงกรุงเทพฯ ให้เมืองเชียงใหม่, ลำพูน, ลำปางช่วยกันรบพุ่งต้านทานไว้กว่ากองทัพกรุงเทพฯ กองทัพหัวเมืองจะขึ้นไปถึง อย่าให้เสียเขตแดนบ้านเมือง …”[16]



[1] ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นอกจากเจ้าขัน ๕ ใบแล้ว มีหลักฐานว่าทรงพระราชทานสัญญาบัตรและเครื่องยศให้แก่พระยาสามล้าน และพระยาไชยสงคราม ดู หวญ. . ๔ จ.. ๑๒๒๐ เลขที่ ๑๗ ร่างศุภอักษรถึงเจ้านครเชียงใหม่ และ หวญ. . ๔ จ.. ๑๒๒๒ เลขที่ ๑๗ ร่างศุภอักษรถึงเจ้านครลำปาง

[2] หวญ. . ๓ จ.. ๑๒๐๙ เลขที่ ๑๓ เรื่องสารตราถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่

[3] ดู หวญ. . ๓ จ.. ๑๒๐๙ เลขที่ ๑๗ สารตราถึงเมืองเชียงใหม่ นครลำพูน นครลำปาง เรื่องตั้งพระยาอุปราช และ และ หวญ. . ๔ จ.. ๑๒๒๒ เลขที่ ๑๐ ร่างพระบรมราโชวาท

[4] พรพรรณ จงวัฒนา, “กรณีพิพาทระหว่างเจ้านครเชียงใหม่กับคนในบังคับอังกฤษอันเป็นเหตุให้รัฐบาลสยามจัดการปกครองมณฑลพายัพ (.. ๒๔๐๑ - ๒๔๔๕)” (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๗), หน้า ๖๐ - ๖๑.

[5] เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑, หน้า ๑๔๐.

[6] หวญ. . ๔ จ.. ๑๒๑๓ เลขที่ ๑๐๗ บัญชีเจ้าเมืองลาวพุงดำพุงขาวส่งเครื่องบรรณาการประจำปี.

[7] ปริศนา ศิรินาม, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐๕. (อ้างจาก หวญ. . ๓ จ.. ๑๑๙๗ เลขที่ ๕ บัญชีรายวันเรื่องส่งไม้ขอนสักหัวเมืองต่างๆ เข้ามาถวาย)

[8] หวญ. . ๔ จ.. ๑๒๒๑ เลขที่ ๒๑๐ สารตราถึงเมืองแพร่, พิษณุโลกและเมืองกำแพงเพชร จ.. ๑๒๒๑

[9] หวญ. . ๔ จ.. ๑๒๒๑ เลขที่ ๑๙๖ ร่างตราน้อยเจ้าพระยานิกรบดินทร์  เรื่องเจ้าเมืองน่านของดส่งไม้ ฯลฯ

[10] หวญ. . ๓ จ.. ๑๒๐๔ เลขที่ ๑๓ สารตราถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่เรื่องตอบรับเครื่องยศของนายหนานมหาเทพ

[11] ปริศนา ศิรินาม, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐๙.(อ้างจาก หวญ. . ๒ จ.. ๑๑๗๑ เลขที่ ๑ ศุภอักษรถึงเจ้าประเทศราชฯ และเกณฑ์กระดาษเพลา ป่าน ใช้ในการพระบรมศพ ฯลฯ)

[12] หวญ. . ๔ จ.. ๑๒๑๘ เลขที่ ๖๙ ตราใหญ่ถึงนครลำปางให้จัดหาไม้ขอนสักพันต้น

[13] หวญ. . ๑ จ.. ๑๑๖๔ เลขที่ ๑ ร่างพระบรมราชโองการเรื่องตั้งเจ้าพระยาเชียงใหม่ จ.. ๑๑๖๔

[14] จำนวนข้าวสารนี้เข้าใจว่าให้เท่าจำนวนคนเพราะพบหลักฐานสมัยรัชกาลที่ ๔ เมืองลำพูนส่งคนมาเฝ้า ๒๖ คน ได้พระราชทานข้าวสาร ๒๖ ถัง ดู หวญ. . ๔ จ.. ๑๒๑๙ เลขที่ ๑๕๘ คัดบอกเมืองลำพูน เมืองแพร่ เรื่องส่งไม้สักและต้นไม้ทองเงิน จ.. ๑๒๑๙

[15] หวญ. . ๓ จ.. ๑๒๐๙ เลขที่ ๑๓ สารตราเมืองเชียงใหม่ เรื่องตอบรับเครื่องยศของ นายหนาน มหาเทพ

[16] หวญ. . ๓ จ.. ๑๒๐๙ เลขที่ ๑๗ สารตราถึงเมืองเชียงใหม่, นครลำพูน, นครลำปาง เรื่องตั้งพระยาอุปราช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Our links