Our links

วันจันทร์ที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ประวัติศาสตร์การปกครองเมืองเชียงใหม่

ประวัติศาสตร์การปกครองเมืองเชียงใหม่ พ.. ๒๓๑๗ - ๒๔๗๖T

(ตรงกับสมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๑ - ))

สรัสวดี อ๋องสกุลTT

เชียงใหม่ในช่วงเวลานับตั้งแต่เป็นประเทศราชของไทยใน พ.. ๒๓๑๗ จนถึง พ.. ๒๔๗๖ ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณะการปกครองต่างไปจากสมัยก่อนหน้านั้น และเมื่อพิจารณาสามารถแบ่งออกเป็น ๒ สมัย ดังนี้

. เชียงใหม่สมัยเป็นประเทศราชของไทย (.. ๒๓๑๗ - ก่อนการปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ ๕)

. เชียงใหม่สมัยปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ (.. ๒๔๒๗ - ๒๔๗๖)

.๑ เชียงใหม่สมัยเป็นประเทศราชของไทย (.. ๒๓๑๗ - ก่อนการปฏิรูปสมัย       รัชกาลที่ ๕)

การฟื้นม่านและการเข้าสวามิภักดิ์ต่อไทย

เชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นพม่าระหว่าง พ.. ๒๑๐๑ - ๒๓๑๗ ในช่วงเวลาสองร้อยกว่าปี เชียงใหม่ยังคงเป็นศูนย์กลางของหัวเมืองล้านนาไทยที่พม่ายึดเป็นฐานที่มั่น โดยส่งข้าหลวงมาปกครองโดยตรง เข้าใจว่ามีการควบคุมอย่างเข้มงวด ชาวเชียงใหม่ได้ก่อการกบฏหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ซึ่งเป็นช่วงที่กษัตริย์พม่าอ่อนแอลง เชียงใหม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระอยู่ระยะหนึ่งและถึงปี พ.. ๒๓๐๖ พม่าก็สามารถตีเชียงใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งในครั้งหลังนี้พม่าได้กวาดต้อน ผู้คนไปเป็นเชลยจำนวนมาก ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่า “ … ไพร่ไทยชาวเชียงใหม่ไปอังวะนับ  เสี้ยง …”[1] ทั้งนี้เพื่อบั่นทอนกำลังมิให้เชียงใหม่รวมกำลังต่อต้านพม่าได้อีก

อย่างไรก็ตามความคิดของชาวเชียงใหม่ที่จะ ฟื้นม่านก็ยังมีอยู่เสมอดังปรากฏเหตุการณ์การต่อสู้กับโป่มะยุง่วน (โป่หัวขาว) เจ้าเมืองเชียงใหม่ ที่กลางเมืองเชียงใหม่มีสองครั้ง ครั้งแรก พ.. ๒๓๑๒ จักกายน้อยพรหมเสียชีวิตในที่รบ ครั้งที่สอง พ.. ๒๓๑๔ โดยพระยาจ่าบ้าน (บุญมา) ซึ่งมีกำลังน้อยและอาวุธก็ไม่พร้อมจึงพ่ายแพ้ พระยาจ่าบ้านหนีไปหาพระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางเพื่อปรึกษาทางฟื้นม่านซึ่งได้ตกลงจะร่วมมือกัน[2] โดยใช้วิธีหันไปสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายไทยแล้วช่วยกันขับไล่พม่าออกไปในปี พ.. ๒๓๑๗

ความคิดที่จะฟื้นม่านของผู้นำชาวล้านนาไทย ตรงกับความต้องการของฝ่ายไทยที่พยายามขับไล่พม่าออกไปจากล้านนาไทยอยู่แล้ว กล่าวคือเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้อิสรภาพและจัดตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ทรงปราบปรามชุมนุมต่างๆ ที่ตั้งตนเป็นอิสระจนสามารถรวบรวมหัวเมืองภายในให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่งในราว พ.. ๒๓๑๓ หลังจากนั้น ทรงเห็นความจำเป็นที่ต้องขับไล่พม่าออกไปจากล้านนาไทยให้ได้ ทั้งนี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจุดยุทธศาสตร์ของล้านนาไทย ซึ่งอยู่ระหว่างพม่ากับไทย หากไทยไม่สามารถครอบครองล้านนาไทยไว้ในอำนาจ อันตรายจากพม่าจะมาถึง และเข้าใจว่าสาเหตุที่พระเจ้าตากสินและกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ให้ความสำคัญต่อหัวเมืองประเทศราชล้านนาไทยมากนั้น เพราะเป็นบทเรียนจากการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้งสองครั้งพม่าสามารถยึดเอาล้านนาไทยเป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหาร อาวุธ และกำลังคนเข้าร่วมในสงคราม ทำให้ไทยเสียเปรียบมากจนพ่ายแพ้สงคราม ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดของไทยต้องยึดล้านนาไทยให้ได้ แนวความคิดดังกล่าวเห็นได้จากพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๑ มีความตอนหนึ่งว่า และราชการข้างหัวเมืองฝ่ายเหนือ แม้กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์คิดทำไม่สำเร็จ พระเศียรก็จะไม่ได้คงอยู่กับพระกายเป็นแท้[3](ขีดเส้นใต้โดยผู้เขียน)

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกทัพไปตีเชียงใหม่ครั้งแรก พ.. ๒๓๑๓ โดยให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เป็นทัพหน้า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนำทัพหลวง ๑๕,๐๐๐ คน เข้าล้อมเมืองไว้ กองทัพไทยสามารถยกขึ้นไปถึงลำพูนได้โดยสะดวก ไม่ได้รับการต่อสู้ขัดขวางจาก       หัวเมืองรายทางเลย แต่การตีเชียงใหม่ครั้งแรกไม่ได้ผล[4] พระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพไปอีกครั้งในปี พ.. ๒๓๑๗ ครั้งนี้เป็นโอกาสของผู้นำชาวล้านนาไทยจะได้ร่วมมือกับกองทัพไทยขับไล่พม่าออกไป



T ผู้เขียนขอขอบคุณ อาจารย์สมโชติ อ๋องสกุล ที่อ่านต้นฉบับและให้ข้อเสนอแนะที่ทำให้งานเขียนชิ้นนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามข้อคิดเห็นในบทความนี้เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนเพียงผู้เดียว

TT อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

[1] คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (พระนคร : โรงพิมพ์สำนักนายก       รัฐมนตรี, ๒๕๑๔), หน้า ๘๕

[2] คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘๖

[3] เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑, (พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๐๕), หน้า ๑๑๒.

[4]พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีและจดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรีประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๐ (พระนคร : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๒), หน้า ๕๓ - ๕๖.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Our links